สุดๆ

วันจันทร์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ประวัติขุนช้างขุนแผน

ประวัติขุนช้างขุนแผน
ลุศักราชร้อยสี่สิบเจ็ดปีพระพันวษา ครอง นครศรีอยุธยา ปกครองไพร่ฟ้าประชาชนให้ร่มเย็นเป็นสุขดังเมืองสวรรค์พระองค์ทรงทศพิศราธรรมยิ่งนัก เพราะดั้งนั้นแลจึงมีเมืองขึ้นน้อยใหญ่ต่างก็มาพึ่งพระบรมโพธิสมภารอยู่มากมาย

ในเมืองสุพรรณบุรี อันเป็นเมืองในขอบขัณฑสีมา พระพันวษาได้ตั้งให้ ขุนไกรพลพ่าย เป็นทหารแห่งกรุงศรีอยุธยาคุมไพร่พลเจ็ดร้อยคอยระวังข้าศึก อันขุนไกรนั้นเดิมทีอยู่บ้านพลับ เป็นคนมั่งมีเงินทองมากผัวเมียคู่นี่ก็รื้อเรือนเดิมไปปลูกใหม่ที่สุพรรณบุรีตั้งรกรากอยู่ที่นั่น ขุนไกรเป็นผู้มีคาถาอาคมคงกระพันชาตรี และมีน้ำใจกล้าหาญไม่ว่าข้าศึกสักกี่คนขุนไกรไม่เคยถอยเลย ความเก่งกล้าขุนไกรนั้นแม้แต่กรมการเมืองสุพรรณก็ยังไม่กล้า

ที่ในเมืองสุพรรณนั่นเอง มีครอบครัวอีกครอบครัวหนึ่งผัวชื่อขุนศรีชื่อวิไชย มีตำแหน่งเป็นนายกรมช้างกองนอก ขุนศรีวิไชยมั่งมีเงินทองมากมายทั้งบ่าวไพร่ก็เยอะแยะ เมียของขุนศรีวิไชยชื่อ นางเทพทอง ตั้งบ้านเรือนอยู่ที่ ตำบลสิบเบี้ย

อีกครอบครัวหนึ่งผัวชื่อ พันศรโยธา มีเมียชื่อ นางศรีประจัน ทั้งผัวเมียเป็นเศรษฐีมั่งมีเงินทองด้วยกันบ้านอยู่ ท่าพี่เลี้ยง นางศรีประจันมีน้องสาวอยู่คนหนึ่งชื่อ บัวประจัน มีผัวชื่อนายโชดคง เดิมทีเดียวนายโชดคงอยู่ทางบางเหี้ย พอได้เมียก็มาหลงสุพรรณอยู่จนกระทั่งลืมญาติกาญาติเกหมด นายโชดคงนี้มีฝีมือในทางลักวัวขโมยควายชาวบ้าน

ครอบครัวต่าง ๆ เหล่านี้ต่อมาก็มีลูกเต้ากันคนละคนสองคนก่อนจะเล่าถึงการเกิดของคนเหล่านั้น ใคร่จะเล่าถึงการเกิดของมนุษย์เสียก่อนโบราณว่ามนุษย์ที่เกิดมานี้ก่อนจะเข้าครรภ์มี ไอ้ผีร้าย อยู่บนปลายไม้กลางคืนก็ปั้นรูปไปหัวเราะไปหยิบนั่นใส่นี้บี้โน่นให้วุ่นไปหมดจนเป็นส่ำมิได้ คืนหนึ่งกำลังปั้นอยู่บนปลายไม้มีสัตว์นรกตัวหนึ่งพันเวรพันกรรมจุติเพศเปรตอสุรกายจะไปสวรรค์ แต่อย่างไรก็ไม่รู้จับผลูผีเกิดปั้นรูปซุกเข้าไปในครรภ์เสียฉิบ นี่คือกำเนิดของขุนช้าง

คืนวันนั้นนางเทพทองเมียขุนศรีวิไชยนอนหลับฝันไปว่ามีช้างพลายตัวใหญ่นอนตายอยู่ที่ตลิ่งพองขึ้นเหม็นโขลงไปทั่วบริเวณ แล้วมีนกตะกรุมหัวเหม่งตัวหนึ่งบินมาแต่ป่าพอเห็นช้างเน่าเจ้านกตะกรุมสับปะดนตัวนั้นก็คาบช้างมาวางไว้ที่หอกลางใก้ลที่นางนอน ในฝันนางเรียกเจ้านกตะกรุมให้มาหา พอนกระกรุมคาบช้างเข้ามาหานางก็กอดช้างกับเจ้านกตะกรุมนอนสบายจนกระทั่งตกใจตื่นรีบปลุกขุนศรีวิไชยผู้ผัวเล่าความแล้วก็คลื่นเหียนอาเจียนจนตัวซีดตัวสั่น ทั้งเหม็นช้างเหม็นนกติดจมูก ขุนศรีวิไชยเห็นเมียรากแตกรากแตนก็ตรงเข้าไปลูบหลังเอาน้ำให้บ้วนปากพอค่อยยังชั่วก็แก้ฝัน ขุนศรีวิไชยได้ฟังเมียว่าก็ว่าฝันของเจ้านี้บอกว่าจะมีครรภ์นั่นเอง ลูกที่จะเกิดมาเป็นชายจะมั่งคั่งบริบูรณ์มากมาย แต่ทว่ารูปร่างของมันเห็นจะชายหน้าเพราะเกิดมาหัวจะล้านมาแต่กำเนิด ยายเอ๋ยแกเชื่อข้าซีจะมั่งมีเงินทองมากกว่าห้าเกวียนเชียวนา แต่นางเทพทองยังกุมท้องอยู่รากไปด่าไป โคตรพ่อโคตรแม่มึงไอ้ลูกหัวล้านหัวเลี่ยนกูไม่อยากเลี้ยงมันแล้ว

ฝ่ายนางทองประศรีเมียขุนไกร คืนวันหนึ่งฝันไปว่า พระอินทร์ ถือแหวนเพชรเม็ดใหญ่เหาะมาจากดาวดึงส์มายื่นให้นางก็รับไว้ ในฝันว่าแสงเพชรส่องแวบวาบปลาบตาพอตกใจตื่นก็ปลุกตัวเล่าความฝันให้ฟังขุนไกรก็แก้ฝันว่าได้ธำมะรงค์วิเศษของพระอินทร์ถือว่าเป็นมงคลอันวิเศษจะมีครรภ์และลูกนั้นจะเป็นชายมีฤทธิ์ดังทหารพระนารายณ์ สามารถปราบได้ทั่งแดนไตร อันแสงเพชรที่ว่าแวบวาบแปลบปลาบนั้นภายหน้าจะได้เป็นทหารใหญ่มียศถาบรรดาศักดิ์ นางทองประศรีก็ยกมือไหว้รับพรผัวแล้วสาธุขอให้สมพรปากเถิด

คราวนี้ฝ่ายนางศรีประจันเมียพันศรโยธานอนหลับฝันไปว่า พระวิษณุกรรม เหาะมาจากฟ้าเอาแหวนมาสวมนิ้วให้แล้วเหาะกลับไป พอรุ่งเช้าก็เล่าความฝันกับพันศรโยธาผู้ผัว พัศรโยธาหัวร่อร่าแล้วทำนายว่าฝันดีนักจะได้ลูกเป็นผู้หญิงรูปร่างงดงามไม่มีใครเปรียบ เพราะเป็นแหวนของพระวิษณุกรรมซึ่งเป็นช่างเอก ศรีประจันได้ยินผัวว่าก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ยกมือขึ้นไว้แล้วว่าสาธุขอให้ได้จริง ๆ เถอะ จะไม่ยอมอุ้มลูกใครเลย

ฝ่ายนางเทพทองตั้งแต่ท้องแล้วท้องก็โตเอา ๆ จนค้ำหน้าจะลุกจะนั่งไปทางไหนก็อืดอัดเต็มที ทั้งแพ้ท้องอยากกินของแปลก ๆ อยากกินเหล้ากับเนื้อพล่าจนน้ำลายสอเหมือนผีกระสือ ไม่ได้กินก็ร้องไห้ครางฮือ ๆ ขอให้ขุนศรีวิไชยผู้ผัวไปหามาให้ ครั้นได้กินก็อยากกินใหญ่ทั้งปลาไหล ไก่ กบ เต่าเผา แย้บึ้ง อึ่งนา แต่ละคำที่กินเข้าไปก็โต ๆ ทั้งนั้นเหล้าไม่เท่าไรก็หมดไหต้องวิ่งไปซั้อมาให้ใหม่ดูวุ่นวายที่สุด ยิ่งกินเข้าไปท้องที่ใกล้จะครบถ้วนก็เจ็บ เด็กในท้องถีบหน้าถีบหลังให้พัลวัน พอท้องลดก็เจ็บหนักบิดตัวเรียกหาพ่อแม่หาหมอตำแยกันวุ่นวาย เสียงร้องเรียกกันให้โขมงโฉงเฉง บ้างเป็นหมอเศก มงคงปลายข้าวสาร บ้างก็เข้าหนุนหลังบ้างก็ข่มท้อง นางเทพทองก็ร้องดิ้นอยู่โครม ๆ ขุนศรีวิไชยไม่รู้จะทำอย่างไรกลัวเมียตายตัวสั่นรัวจิกหัวเป่ากระหม่อมไปตามเรื่อง พอดียายหมอตำแยแยงแย่เข้าคร่อมท้องแม่นางเทพทองก็เข้าช่วยข่มจนตัวสั่นแต่ก็ไม่ยอมลงข่มไปข่มมาก็พอดีเสียงดังผลุด ยายคงหกคะเมนไปติดอยู่ข้างฝาเสียงลูกร้องแงแง เวลาตกฟากพอดีกับพระพันวษาเจ้าพระนครอยุธยาได้ช้างเผือกมาในวันเดียวกัน พอรู้ว่าลูกคลอดนางเทพทองเหลียวหน้าดูลูกชายพอเห็นเข้าก็ร้องด่า ทุดไอ้ลูกบัดสีหน้าตาเหมือนผีปั้น ดูสิหัวล้านแต่ในท้องเหมือนกับวงเดือน โธ่เสียแรงอุ้มท้องมันมา ไอ้หมาขี้เรื้อนเลี้ยงไว้ก็ขายหน้าเขาเหลือเกิน ด่าไปด่ามาก็ถูกหมอตำแยให้เข้าไปนอนบนกระดานอยู่ไฟ เจ้าหนูน้อยเกิดมาก็มีบ่าวไพร่อาบน้ำป้อนข้าแห่กล่อมเรื่อยมา

ตั้งแต่เจ้าหนูน้อยหัวล้านเกิดมาแล้วบ้านขุนศรีวิไชยก็มั่งคั่งกว่าเดิมไม่ว่าจะทำอะไรก็เป็นเงินเป็นทอง แม้จะมั่งคั่งอย่างนั้นนางเทพทองก็เกลียดน้ำหน้าลูกนัก บุญของเจ้าหนูน้อยยิ่งอยู่ไปเงินทองก็ยิ่งไหลมาเทมาปู่ย่าตายายชอบใจตั้งชื่อหลานให้เป็นมงคล โดยถือเอาความฝันเป็นนิมิต ประกอบกับวันเกิดพระพันวษาได้ช้างเผือกมากรุงศรีอยุธยา จึงให้ชื่อหลานว่า ขุนช้างปูย่าตายายของขุนช้างเป็นคนค่อนข้างจะขี้เห่อแต่งตัวให้หลานเสียจนเดินเกือบไม่ไหว ที่คอเอาเงินเอาทองใส่ ที่ข้อมือใส่ กำไลล้นเข้าไปเกือบจะถึงข้อศอก ที่ข้อเท้าใส่กำไลเท้า แขนใส่ปะวะหล่ำ เอวคาดสายสร้อยอ่อนจำหลักทับพริกเทศประดับกัลปังหา ขุนช้างเป็นเด็กท่าทางคงจะทะลึ่งไม่น้อย นางเทพทองผู้เป็นแม่เห็นทีไรรู้สึกมันให้ขัดหูขัดตามไปหมด พอเห็นขุนช้างแกก็ด่าเปิง ๆ ไอ้ลูกขอทาน ดูซิทำเหมือนกะเต้นโขน จับก็ไม่อยู่ชนเหมือนลิงทะโมน ไอ้ผีระยำตัวไหนนะเสือกปั้นมาให้ กูเกลียดขี้หน้าไม่อยากอุ้มมัน เวลาว่าก็ทำตาหลอกเหมือนค่างเหมือนลิง โธ่เอ๊ยกรรมของกูแท้ ๆ

ท่าทางของขุนช้างน่ากลัวมาก พออายุสามขวบไปเที่ยวเตร่ เด็กเล็กเห็นเข้าก็ร้องไห้กลัวจนตัวสั่นตะโกนเรียกแม่ว่า แม่จ๋าตัวอะไรนั่นมันแยกเขี้ยวยิงฟันฉันกลัวมันเหลือเกิน ยายแม่หัวเราะแล้วว่า อย่าไปกลัวเลยลูกตัวที่เจ้าว่า0นั่นชื่อขุนช้างเป็นลูกเจ้าขรัว บ้านรั้วใหญ่ ขุนศรีวิไชยอย่างไงล่ะอย่าไปขวางทางเขาลูก เขาเป็นเศรษฐีใหญ่

ที่นี้กล่าวถึงทองประศรีบ้าง ตั้งแต่ตั้งครรภ์มาแล้วดูผิวพรรณผุดผ่องหน้านวลเหมือนพระจันทร์วันเพ็ญทีเดียว แก้มสองข้างก็เปล่งปลั่งเหมือปรางทอง สองเต้านมครัวเคร่ง ทองประศรีอุตส่าห์ภาวนารักษาศีลอยู่เป็นนิตย์ ทุกวันบูชาพระด้วยดอกบัวจนกระทั่งครรภ์เติบโตครบสิบเดือนก็คลอดบุตรออกมา ปู่ย่าตายายเห็นหลานรักหน้าตาจิ้มลิ้มพริ้มเพราก็พากันชื่นชมยินดียิ่งนัก พออายุหนูน้อยได้ครบหนึ่งเดือนพ่อแม่ก็มาปรึกษาหารือกับปู่ย่าตายายว่าจะให้ชื่ออย่างไร ตานั้นมีฝีมือในทางหมอดูก็คิดคูณหารเอาเวลาตกฟากมาประสมกับวันเดือนปีเกิด เกิดปีขาลวันอังคาร เดือนห้าตกฟากเวลาชั้นฉายตรงกับเวลาที่พระเจ้ากรุงจีนเอาดวงแก้วมาถวายพระเจ้ากรุงศรีอยุธยา และให้ใส่ไว้ในยอดพระเจดีย์วัดเจ้าพระยาไทย จึงให้นามหลานชายว่า เจ้าพลายแก้ว

ส่วนนางศรีประจันตั้งแต่ตั้งท้องแล้วจิตใจก็ผ่องใสไม่ขุ่นมัว พอครรภ์ครบถ้วนเทศมาสก็คลอดบุตรีงามโสภา ปู่ย่าตายายชื่นชมยิ่งนักพออายุได้ห้าขวบก็ตั้งชื่อให้ว่า เจ้าพิมพิลาไลย พ่อแม่สอนเย็บปักถักร้อยเช้า ๆ เย็น ๆ ก็ไปเล่นเก็บดอกไม้ที่ข้างวัดเขาใหญ่ อยู่เป็นประจำ

เด็ก ๆ ทั้งหลายอยู่บ้านใกล้เรือนเคียงกันมักจะออกไปเล่นด้วยกันเสมอ เจ้าพลายแก้วกับขุนช้างก็เช่นเดียวกัน พอได้โอกาสก็พร้อมด้วยบ่าวไพร่ตามเป็นพรวน เจ้าพลายแก้วเห็นขุนช้างนำหน้าบริวารมาก็ชวนขุนช้างไปซื้อเหล้ามากิน ขุนช้างก็ใช่ย่อยให้บ่าวไปซื้อมาแล้วก็รินให้เจ้าพลายแก้วดื่มเข้าไปอีกใหญ่แทบสำลัก เพราะไม่เคยกิน ขุนช้างนั้นท่านักเลงกินเข้าไปมากจนหัวสั่นครู่เดียวก็เมาจนตาชันเทเหล้าใส่ขันแล้วชวนพลายแก้วกล่าวคำสาบานขึ้นว่า เราสองจะขอซื่อสัตย์ต่อกันจนวันตาย ถ้าไอ้ผู้ใดบังอาจคิดคดทรยศต่อเพื่อนขอให้เทพเจ้าสังหารผลาญชีวิต และให้ดาบองครักษ์ทั้งสี่หมู่บั่นเกษา ทั้งขอให้พลัดพ่อพลัดแม่หาร้อยกัลป์อนันตชาติทีเดียว ครั้นอธิษฐานแล้วก็จิ้มเอาเหล้ามาควั่นคอ แล้วทั้งสองก็ดื่มเหล้าเข้าไปคนละอึกสองอึก ขุนช้างกินหนักไปหน่อยทำตาป่อหลอเหมือนจะสิ้นใจเล่นเอานางพิมพิลาไลยที่เล่นอยู่ใกล้ ๆ หัวเราะชอบใจจนตัวงอสมน้ำหน้าไอ้หัวล้านกระบาลใส

อันนางพิมพิลาไลยนั้นก็เล่นหุงข้าวต้มแกงกวาดทรายรอบ ๆ ทำเป็นรั้วบ้านแล้วตี๋ต่างทำบุญบ้านให้บ่าวไพร่ไปนิมนต์พระมา พวกบ่าวไพร่ก็ไปนิมนต์ขุนช้างตั้งตัวเป็นสมภารมอญ ไม่ต้องกล้อนหัวเพราะล้านอยู่แล้วพลายแก้วเป็นสมภารไทย มาถึงก็สวดกันใหญ่ไม่รู้ว่าสวดอะไรบ้างพอสวดมนต์จบฉันเสร็จพลายแก้วก็เสนอขึ้นว่า เล่นทำบุญทำทานไม่เข้าทีมาเล่นผัวเมียกันดีกว่า ขุนช้างได้ยินหัวร่อร่าชอบใจว่าดีจริง ๆ นางพิมพิลาไลยสยิ่วหน้าด่าว่าไปเสีย ไอ้รูปชั่วหัวถลอกกูไม่เล่นกะมึงหรอก พลายแก้วว่า เล่นเถิดเจ้าพิมให้ไอ้ขุนช้างเป็นผัวตัวข้าจะย่องเข้าไปลักตัวเจ้ามา เมื่อถูกรบเร้าเข้าบ่อย ๆ นางพิมพิลาไลยก็ตกลงเล่นไปหักเอากิ่งไม้ใบไม้มาลาดทำเตียงเอาทรายกวาดเข้ามาต่างฟูกต่างหมอน แล้วนางพิมพิลาไลยก็ลงนอนขุนช้างหัวล้านก็ตรงเข้าไปนอนเคียง เจ้าพลายแก้วกระโดดเข้านอนกลางแล้วชกหัวขุนช้างตรงที่ล้านเกลี้ยง ขุนช้างถูกชกหัวก็ร้องตะโกนกู่เฮ้ยเร็วเว้ยพวกเรา อ้ายขโมยหน้าหมามาลักเมียกูเว้ย พอสิ้นเสียงเรียกของขุนช้างบรรดาบ่าวไพร่ก็ไล่ติดตามพวกพลายแก้วเป็นโกลา พอทันกันทั้งสองฝ่ายก็ตลุยไล่เข้าทุบตีกันเล่น ๆ ก่อน พอเจ็บเข้าก็กลายเป็นต่อยกันจริง ๆ จมูกครากปากแตกเลือดเข้าเลือดออกไปตาม ๆ กัน เสียงร้องกันให้เกรียวกราวจนผู้ใหญ่ต้องเข้ามาห้าม นางพิมพิลาไลยเห็นเรื่องกลายไปอย่างนั้นก็ร้องด่าขุนช้าง พวกไอ้หัวล้านขี้ถังกูไม่อยากเล่นกะมึงแล้วก็พาบริวารกลับเรือนพวกขุนช้างและพวกพลายแก้วก็พาพวกกลับบ้านฝนไพลทากันเป็นโกลาที่เด็ก ๆ เล่นอุตริกันเช่นนี้ใช่จะแกล้งประดิษฐ์คิดว่าก็หาไม่ หากแต่เทวดาดลใจให้เล่นซึ่งเหมือนกับบอกวิถีทางชีวิตของเด็กเหล่านี้ในวันข้างหน้า

อยู่ต่อมาขุนช้างก็เติบใหญ่เจริญวัยขึ้น ขุนศรีวิไชยจึงปรึกษากับนางเทพทองเมียรักว่า บัดนี้ลูกรักของเราก็โตแล้วควรจะได้เข้าไปเฝ้าถวายตัวแด่พระพันวษาตามประเพณี ขืนปิดบังไว้ความผิดจะมาถึงตัว นางเทพทองก็เห็นด้วย จึงให้บรรดาข้าไทจัดแจงแต่งตัวขุนช้างเสียใหม่ หาธูปเทียนเสบียงกรังที่จะต้องเดินทางไปกรุงศรีอยุธยา ครั้นสำเร็จเสร็จสรรพแล้วก็ให้ผูกช้างพลายสองพ่อลูกขึ้นนั่งบนสัประคับออกจากบ้านรั้วใหญ่ข้ามทุ่งนาป่าละเมาะเรื่อยมา จนกระทั่งมาถึงวัดธรรมาก็ให้หยุดช้างไว้เพื่อข้ามฟากไปยังฝั่งกรุง ชาวบ้านร้านตลาดเห็นเด็กน้อยหัวล้านล่อนกล้อนก็พากันหัวเราะคิกคัก บ้างก็ว่าน่ากลัวลิงค่างมาเกิดแน่ ๆ ทีเดียว หรือไม่ก็ไอ้พวกผีที่ปั้นลูกปั้นส่งเดช ยิ่งเดินไปคนก็ยิ่งตามดูเป็นกลุ่ม ๆ บางคนก็ว่าเสียงอหายเลย จนกระทั่งขุนศรีวิไชยพาขุนช้างเข้าวังพวกชาวบ้านร้านตลาดก็ยังโจษจรรกันอยู่ พอเข้าถึงท้องพระโรงพวกขุนนางที่เฝ้าแหนอยู่เห็นขุนศรีวิไชยพาเด็กหัวล้านเข้ามาก็พากันหัวเราะเกรียวกราว เล่นเอาขุนช้างตัวน้อยประหม่างกเงิ่นเข้าแอบหลังพ่ออยู่

ฝ่ายสมเด็จพระพันวษาประทับอยู่ฝ่ายในจนกระทั่งบ่ายสี่โมงเศษก็ออกเสด็จพระลานหน้าให้เสนาข้าราชการเฝ้า ขุนศรีวิไชยกับขุนช้างก็คลานตามติดกันเข้ามายกพานธูปเทียนดอกไม้เข้าไปตั้งตรงหน้า อันขุนช้างนั้นไม่ยอมห่างพ่อใจเต้นตึก ๆ กลัวแทบตาย พระพันวษาทอดพระเนตรเห็นขุนศรีวิไชยเข้ามาก็ตรัสว่า เฮ้ยขุนศรีวิไชยนั่นมึงพาลูกใครเข้ามาวะ หัวหูดูน่าเวทนานัก เป็นลูกเต้าเหล่ากอใครหรือว่าเป็นของมึงเองดูหัวล้านโจ่งเหม่งแปลกแท้ ๆ มึงจะมายกให้กูหรือว่าไง ขุนศรีวิไชยก็ทูลว่าขอเดชะใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท อันเด็กน้อยหัวล้านนี้คือบุตรของข้าเอง นำมาทูลเกล้าทวายไว้เป็นทหาร อันบุตรชายของข้านี้ชาตาดียิ่งนัก ตั้งแต่เกิดก็ทำมาค้าขึ้นสิ่งที่ไม่น่าจะได้ก็ได้ สมเด็จพระพันวษาทรงพระสรวลอยู่ร่า ๆ ดูหัวมันน่าสมเพทเวทนาแท้ ๆ แต่เมื่อมึงว่ามันเกิดมาทำมาค้าขึ้นก็ชอบกลอยู่ ตอนนี้มันยังเล็กนักจะให้กูไว้เป็นทหารก็ใช้การไม่ได้ เองเลี้ยงไว้ก่อนต่อมันโตขึ้นจึงเอามามอบให้กูก็แล้วกันตรัสแล้วก็ให้พนักงานจัดเสื้อผ้ามาพระราชทาน ขุนศรีวิไชยมากราบงามสามลาแล้วก็ถวายบังคมลากกลับสุพรรณบุรี

ประวัติพระพุทธเจ้า

"ศาสนาพุทธ" เป็นศาสนาประจำชาติไทยของเรา แล้วมีสักกี่คนเอ่ย...ที่ทราบถึงประวัติของ "พระสัมมาสัมพุทธเจ้า" ผู้ทรงเป็น "พระศาสดา" ของ "พระพุทธศาสนา" วันนี้กระปุกจึงนำเรื่องราวพุทธประวัติ หรือ ประวัติพระพุทธเจ้า มาฝากกันค่ะ

พระพุทธเจ้าทรงมีพระนามเดิมว่า "สิทธัตถะ" หมายถึง ผู้ที่สำเร็จความมุ่งหมายแล้ว หรือผู้ปรารถนาสิ่งใด ย่อมได้สิ่งนั้น ทรงเป็นพระราชโอรสของพระเจ้าสุทโธทนะ กษัตริย์ผู้ครองกรุงกบิลพัสดุ์ แคว้นสักกะ และ "พระนางสิริมหามายา" พระราชธิดาของกษัตริย์ราชสกุลโกลิยวงศ์แห่งกรุงเทวทหะ แคว้นโกลิยะ

ในคืนที่พระพุทธเจ้าเสด็จปฏิสนธิในครรภ์พระนางสิริมหามายา พระนางทรงพระสุบินนิมิตว่า มีช้างเผือกมีงาสามคู่ได้เข้ามาสู่พระครรภ์ ณ ที่บรรทม ก่อนที่พระนางจะมีพระประสูติกาล ที่ใต้ต้นสาละ ณ สวนลุมพินีวัน เมื่อวันศุกร์ ขึ้นสิบห้าค่ำ เดือนวิสาขะ ปีจอ 80 ปีก่อนพุทธศักราช (ปัจจุบันสวนลุมพินีวันอยู่ในประเทศเนปาล)

ทันทีที่ประสูติ เจ้าชายสิทธัตถะทรงดำเนินด้วยพระบาท 7 ก้าว และมีดอกบัวผุดขึ้นมารองรับพระบาท พร้อมเปล่งพระวาจาว่า "เราเป็นเลิศที่สุดในโลก ประเสริฐที่สุดในโลก การเกิดครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายของเรา" แต่หลังจากเจ้าชายสิทธัตถะประสูติกาลได้แล้ว 7 วัน พระนางสิริมหามายาก็เสด็จสวรรคาลัย เจ้าชายสิทธัตถะจึงอยู่ในความดูแลของพระนางประชาบดีโคตมี ซึ่งเป็นพระกนิษฐาของพระนางสิริมหามายา

ทั้งนี้ พราหมณ์ ทั้ง 8 ได้ทำนายว่า เจ้าชายสิทธัตถะมีลักษณะเป็นมหาบุรุษ คือ หากดำรงตนในฆราวาสจะได้เป็นจักรพรรดิ ถ้าออกบวชจะได้เป็นศาสดาเอกของโลก แต่โกณฑัญญะพราหมณ์ผู้อายุน้อยที่สุดในจำนวนนั้น ยืนยันหนักแน่นว่า พระราชกุมารสิทธัตถะจะเสด็จออกบวช และจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน


ประวัติพระพุทธเจ้า : ชีวิตในวัยเด็ก

เจ้าชายสิทธัตถะทรงศึกษาเล่าเรียนจนจบศิลปศาสตร์ทั้ง 18 ศาสตร์ ในสำนักครูวิศวามิตร และเนื่องจากพระบิดาไม่ประสงค์ให้เจ้าชายสิทธัตถะเป็นศาสดาเอกของโลก จึงพยายามทำให้เจ้าชายสิทธัตถะพบเห็นแต่ความสุข โดยการสร้างปราสาท 3 ฤดู ให้อยู่ประทับ และจัดเตรียมความพร้อมสำหรับการราชาภิเษกให้เจ้าชายขึ้นครองราชย์

เมื่อมีพระชนมายุ 16 พรรษา ทรงอภิเษกสมรสกับพระนางพิมพา หรือยโสธรา พระธิดาของพระเจ้ากรุงเทวทหะซึ่งเป็นพระญาติฝ่ายพระมารดา จนเมื่อมีพระชนมายุ 29 พรรษา พระนางพิมพาได้ให้ประสูติพระราชโอรส มีพระนามว่า "ราหุล" ซึ่งหมายถึง "บ่วง"

วันจันทร์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2553

การสื่อสารทาง Internet



การสื่อสารทางอินเทอร์เน็ตมีกี่แบบอะไรบ้าง


โดยทั่วไป มี 5 ประเภท ได้แก่
1. การใช้งานอินเตอร์เน็ตผ่าน Dial Up เป็นการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตที่เคยได้รับความนิยมในยุคแรก ๆ โดยใช้เครื่องคอมพิวเตอร์บุคคล กับสายโทรศัพท์บ้านที่เป็นสายตรงต่อเชื่อมเข้ากับโมเด็ม (Modem) ก็สามารถใช้งานอินเตอร์เน็ตได้แล้ว ผู้ใช้บริการอินเตอร์เน็ตต้องทำการติดต่อกับผู้ให้บริการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตผ่านหมายเลขโทรศัพท์บ้าน โดยผู้ให้บริการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตจะกำหนดชื่อผู้ใช้ (Username) และรหัสผ่าน (Password) มาให้เพื่อเข้าใช้บริการอินเตอร์เน็ต
2. การใช้งานอินเตอร์เน็ตผ่าน ISDN (Internet Services Digital Network) เป็นการเชื่อมต่อที่คล้ายกับแบบ Dial Up เพราะต้องใช้โทรศัพท์และโมเด็มในการเชื่อมต่อ ต่างกันตรงที่ระบบโทรศัพท์เป็นระบบความเร็วสูงที่ใช้เทคโนโลยีระบบดิจิตอล (Digital) และต้องใช้โมเด็มแบบ ISDN Modem ในการเชื่อมต่อ
3. การใช้งานอินเตอร์เน็ตผ่าน DSL (Digital Subscriber Line) เป็นเทคโนโลยีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตความเร็วสูงโดยใช้สายโทรศัพท์ธรรมดา ที่สามารถใช้อินเตอร์เน็ตและพูดผ่านสายโทรศัพท์ปกติได้ในเวลาเดียวกัน การเชื่อมต่อต้องใช้ DSL Modem ในการเชื่อมต่อ ต้องติดตั้ง Ethernet Adapter Card หรือ Lan Card ไว้ที่เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้ในการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตด้วย
4.การใช้งานอินเตอร์เน็ตผ่าน Cable เป็นการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตโดยผ่านสายสื่อสารเดียวกับ Cable TV จึงทำให้เราสามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตไปพร้อม ๆ กับการดูทีวีได้ โดยต้องจัดหาอุปกรณ์เพิ่มเติม คือ ช้ Cable Modem เพื่อเชื่อมต่อ ต้องติดตั้ง Ethernet Adapter Card หรือ Lan Card ไว้ที่เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้ในการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตด้วย
5. การใช้งานอินเตอร์เน็ตผ่านดาวเทียม (Satellites) เป็นการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตที่มีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง ระบบที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันเรียกว่า Direct Broadcast Satellites หรือ DBS โดยผู้ใช้ต้องจัดหาอุปกรณ์เพิ่มเติม คือ จานดาวเทียมขนาด 18-21 นิ้ว เพื่อทำหน้าที่เป็นตัวรับสัญญาณจากดาวเทียม ใช้ Modem เพื่อเชื่อมต่อระบบอินเตอร์เน็ต
การสื่อสารบนอินเตอร์เน็ต
การสื่อสารทางอินเตอร์เน็ตสามารถทำได้หลายทางด้วยกัน ดังนี้
1. จดหมายอิเล็กทรอนิกส์ (E-mail)
เป็นการสื่อสารที่นิยมใช้กันมาก เนื่องจากผู้ใช้สามารถติดต่อสื่อสารกับบุคคลที่ต้องการได้อย่างรวดเร็ว ภายในระยะเวลาอันสั้น ไม่ว่าจะอยู่ในที่ทำงานเดียวกันหรืออยู่ห่างกันคนละมุมโลกก็ตาม นอกจากนี้ยังสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายน้อยมากเพียงเท่ากับค่าโทรศัพท์เท่านั้น

2. การสืบค้นข้อมูลแบบเครือข่ายใยแมงมุม (World Wide Web: www.)
เป็นการสื่อสารที่เติบโตรวดเร็วที่สุดในอินเตอร์เน็ต ด้วยเหตุผลที่สำคัญคือง่ายต่อการใช้งานและสามารถนำเสนอข้อมูลแบบกราฟิกได้ การใช้ World Wide Web เปรียบเสมือนการเข้าไปอ่านหนังสือในห้องสมุด โดยหนังสือที่มีให้อ่านจะสมบูรณ์มากกว่าหนังสือทั่วไป เพราะสามารถฟังเสียงและดูภาพเคลื่อนไหวประกอบได้ นอกจากนี้ยังสามารถโต้ตอบกับผู้อ่านได้ด้วย ข้อมูลต่างๆ จะมีการเชื่อมโยงถึงกันได้ด้วยคุณสมบัติของ Hypertext Link
การที่จะเข้าไปอ่านข้อมูลเหล่านี้ได้ ผู้ใช้จะต้องมี Web Browser ซึ่งนิยมใช้กันในขณะนี้ได้แก่ Netscape Navigator และ Internet Explorer ปัจจุบันได้มีการประยุกต์กิจกรรมอื่นไว้ภายใน World Wide Web ด้วย อาทิ การโฆษณากิจกรรม รวมถึงความบันเทิงต่างๆ เช่น การดูหนังฟังเพลง และชมรายการต่างๆ ทางสถานีโทรทัศน์
เช่น
www.yahoo.com

www.google.co.th

www.hotmail.com

3. การโอนย้ายข้อมูล (File Transfer Protocol: FTP)
เป็นการสื่อสารอีกรูปแบบหนึ่งที่ใช้กันมากพอสมควรในอินเตอร์เน็ต โดยอาจใช้เพื่อการถ่ายโอนข้อมูลรวมถึงโปรแกรมต่างๆ จากแหล่งข้อมูลทั้งหลายมายังเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลที่ใช้งานอยู่ ปัจจุบันมีหน่วยงานหลายแห่งที่กำหนดให้ Server ของตนทำหน้าที่เป็น FTP Site เก็บรวบรวมข้อมูลและโปรแกรมต่างๆ สำหรับให้บริการ
การเข้าไปขอถ่ายโอนข้อมูลนั้น ผู้ใช้ต้องทราบชื่อเครื่องที่ตั้งเป็น FTP Server และสิทธิที่ได้รับอนุญาตให้เข้าทำ FTP


4. การแลกเปลี่ยนข่าวสาร (Usenet)
มีที่มาจากกระดานประกาศข่าว หรือ Bulletin Board กล่าวคือ ผู้ที่มีความสนใจในเรื่องเดียวกัน จะรวมกลุ่มกันตั้งเป็นกลุ่มข่าวของแต่ละประเภท เมื่อมีข้อมูลใหม่ที่จะเป็นประโยชน์ต่อสมาชิกผู้อื่น หรือมีปัญหาหรือคำถามที่ต้องการความช่วยเหลือหรือคำตอบ ผู้นั้นก็จะส่งข้อมูลของตนเข้าไปติดประกาศไว้ในอินเตอร์เน็ต โดยเครื่องที่ทำหน้าที่ติดประกาศคือ News Server เมื่อสมาชิกอื่นอ่านพบ ถ้ามีข้อมูลเพิ่มเติมหรือมีบางอย่างไม่ถูกต้อง หรือมีคำตอบที่จะช่วยแก้ปัญหาให้ได้ สมาชิกเหล่านั้นก็จะส่งข้อมูลตอบกลับไปติดประกาศไว้เช่นกัน
5. การเข้าใช้เครื่องระยะไกล (Telenet)
เป็นการขอเข้าไปใช้เครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องอื่น ที่เชื่อมต่อกับอินเตอร์เน็ตจากระยะไกล โดยผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องไปนั่งอยู่หน้าเครื่องนั้น เครื่องคอมพิวเตอร์ดังกล่าวนี้อาจอยู่ภายในสถานที่เดียวกับผู้ใช้ หรืออยู่ห่างกันคนละทวีปก็ได้ แต่ทั้งนี้ผู้ใช้ต้องมี account และรหัสผ่านจึงจะสามารถเข้าใช้เครื่องดังกล่าวได้ ส่วนคำสั่งในการทำงานนั้นขึ้นอยู่กับระบบปฏิบัติการของเครื่องที่เข้าไปขอใช้
6. การสนทนาผ่านเครือข่าย (Talk หรือ Chat)
เป็นการติดต่อสื่อสารแบบ 2 ทาง คือ สามารถสื่อสารโต้ตอบกันได้ทันทีเหมือนการใช้โทรศัพท์ สามารถทำได้ทั้งแบบ Text-based และ Voice-based โปรแกรมที่นิยมใช้คือ Talk ซึ่งเป็นการพิมพ์โต้ตอบระหว่างคนสองคน Internet phone เป็นการคุยกันด้วยเสียงแบบเดียวกับโทรศัพท์ และ IRC (Internet Relay Chat)
7. บริการส่งข้อความทางอินเตอร์เน็ต
เป็นการส่งข้อความในรูปแบบของข้อความสั้นๆ (Short Message) ผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ตให้ส่งสัญญาณไปยังอุปกรณ์สื่อสารประเภทไร้สาย ได้แก่ โทรศัพท์เคลื่อนที่ หรือเพจเจอร์ เป็นต้น
8. Remote Login
เป็นบริการที่ผู้ใช้สามารถติดต่อผ่าน Telenet เข้ากับคอมพิวเตอร์ที่อยู่ห่างไกล และคอมพิวเตอร์นั้นค้นหาสารสนเทศ แหล่งบริการสารสนเทศ เช่น รายการบัตรของห้องสมุด (Online Public Access Catalog: OPAC) ซึ่งเป็นฐานข้อมูลทรัพยากรสารสนเทศที่ห้องสมุดแต่ละแห่งทั่วโลกจัดทำขึ้น และเชื่อมต่อเข้ากับระบบเครือข่าย

















การสื่อสารบนอินเตอร์เน็ต






การสื่อสารทางอินเตอร์เน็ตสามารถทำได้หลายทางด้วยกัน ดังนี้
จดหมายอิเล็กทรอนิกส์ (E-mail)
เป็นการสื่อสารที่นิยมใช้กันมาก เนื่องจากผู้ใช้สามารถติดต่อสื่อสารกับบุคคลที่ต้องการได้อย่างรวดเร็ว ภายในระยะเวลาอันสั้น ไม่ว่าจะอยู่ในที่ทำงานเดียวกันหรืออยู่ห่างกันคนละมุมโลกก็ตาม นอกจากนี้ยังสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายน้อยมากเพียงเท่ากับค่าโทรศัพท์เท่านั้น
การสืบค้นข้อมูลแบบเครือข่ายใยแมงมุม (World Wide Web: www.)
เป็นการสื่อสารที่เติบโตรวดเร็วที่สุดในอินเตอร์เน็ต ด้วยเหตุผลที่สำคัญคือง่ายต่อการใช้งานและสามารถนำเสนอข้อมูลแบบกราฟิกได้ การใช้ World Wide Web เปรียบเสมือนการเข้าไปอ่านหนังสือในห้องสมุด โดยหนังสือที่มีให้อ่านจะสมบูรณ์มากกว่าหนังสือทั่วไป เพราะสามารถฟังเสียงและดูภาพเคลื่อนไหวประกอบได้ นอกจากนี้ยังสามารถโต้ตอบกับผู้อ่านได้ด้วย ข้อมูลต่างๆ จะมีการเชื่อมโยงถึงกันได้ด้วยคุณสมบัติของ Hypertext Link
การที่จะเข้าไปอ่านข้อมูลเหล่านี้ได้ ผู้ใช้จะต้องมี Web Browser ซึ่งนิยมใช้กันในขณะนี้ได้แก่ Netscape Navigator และ Internet Explorer ปัจจุบันได้มีการประยุกต์กิจกรรมอื่นไว้ภายใน World Wide Web ด้วย อาทิ การโฆษณากิจกรรม รวมถึงความบันเทิงต่างๆ เช่น การดูหนังฟังเพลง และชมรายการต่างๆ ทางสถานีโทรทัศน์
3. การโอนย้ายข้อมูล (File Transfer Protocol: FTP)
เป็นการสื่อสารอีกรูปแบบหนึ่งที่ใช้กันมากพอสมควรในอินเตอร์เน็ต โดยอาจใช้เพื่อการถ่ายโอนข้อมูลรวมถึงโปรแกรมต่างๆ จากแหล่งข้อมูลทั้งหลายมายังเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลที่ใช้งานอยู่ ปัจจุบันมีหน่วยงานหลายแห่งที่กำหนดให้ Server ของตนทำหน้าที่เป็น FTP Site เก็บรวบรวมข้อมูลและโปรแกรมต่างๆ สำหรับให้บริการ การเข้าไปขอถ่ายโอนข้อมูลนั้น ผู้ใช้ต้องทราบชื่อเครื่องที่ตั้งเป็น FTP Server และสิทธิที่ได้รับอนุญาตให้เข้าทำ FTP
4. การแลกเปลี่ยนข่าวสาร (Usenet)
มีที่มาจากกระดานประกาศข่าว หรือ Bulletin Board กล่าวคือ ผู้ที่มีความสนใจในเรื่องเดียวกัน จะรวมกลุ่มกันตั้งเป็นกลุ่มข่าวของแต่ละประเภท เมื่อมีข้อมูลใหม่ที่จะเป็นประโยชน์ต่อสมาชิกผู้อื่น หรือมีปัญหาหรือคำถามที่ต้องการความช่วยเหลือหรือคำตอบ ผู้นั้นก็จะส่งข้อมูลของตนเข้าไปติดประกาศไว้ในอินเตอร์เน็ต โดยเครื่องที่ทำหน้าที่ติดประกาศคือ News Server เมื่อสมาชิกอื่นอ่านพบ ถ้ามีข้อมูลเพิ่มเติมหรือมีบางอย่างไม่ถูกต้อง หรือมีคำตอบที่จะช่วยแก้ปัญหาให้ได้ สมาชิกเหล่านั้นก็จะส่งข้อมูลตอบกลับไปติดประกาศไว้เช่นกัน
5. การเข้าใช้เครื่องระยะไกล Telenet
เป็นการขอเข้าไปใช้เครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องอื่น ที่เชื่อมต่อกับอินเตอร์เน็ตจากระยะไกล โดยผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องไปนั่งอยู่หน้าเครื่องนั้น เครื่องคอมพิวเตอร์ดังกล่าวนี้อาจอยู่ภายในสถานที่เดียวกับผู้ใช้ หรืออยู่ห่างกันคนละทวีปก็ได้ แต่ทั้งนี้ผู้ใช้ต้องมี account และรหัสผ่านจึงจะสามารถเข้าใช้เครื่องดังกล่าวได้ ส่วนคำสั่งในการทำงานนั้นขึ้นอยู่กับระบบปฏิบัติการของเครื่องที่เข้าไปขอใช้
6. การสนทนาผ่านเครือข่าย หรือ Chat)
เป็นการติดต่อสื่อสารแบบ 2 ทาง คือ สามารถสื่อสารโต้ตอบกันได้ทันทีเหมือนการใช้โทรศัพท์ สามารถทำได้ทั้งแบบ Text-based และ Voice-based โปรแกรมที่นิยมใช้คือ Talk ซึ่งเป็นการพิมพ์โต้ตอบระหว่างคนสองคน Internet phone เป็นการคุยกันด้วยเสียงแบบเดียวกับโทรศัพท์ และ IRC (Internet Relay Chat)
7. บริการส่งข้อความทางอินเตอร์เน็ต
เป็นการส่งข้อความในรูปแบบของข้อความสั้นๆ (Short Message) ผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ตให้ส่งสัญญาณไปยังอุปกรณ์สื่อสารประเภทไร้สาย ได้แก่ โทรศัพท์เคลื่อนที่ หรือเพจเจอร์ เป็นต้น
8. Remote Login
เป็นบริการที่ผู้ใช้สามารถติดต่อผ่าน Telenetเข้ากับคอมพิวเตอร์ที่อยู่ห่างไกล และคอมพิวเตอร์นั้นค้นหาสารสนเทศ แหล่งบริการสารสนเทศ เช่น รายการบัตรของห้องสมุด (Online Public Access Catalog: OPAC) ซึ่งเป็นฐานข้อมูลทรัพยากรสารสนเทศที่ห้องสมุดแต่ละแห่งทั่วโลกจัดทำขึ้น และเชื่อมต่อเข้ากับระบบเครือข่าย










หัวใจกั้นฟ้า

จะรักหรือจะร้าย

http://www.youtube.com/v/p180C1Ciu18&hl=en_US&fs=1&"> name="allowFullScreen" value="true">http://www.youtube.com/v/p180C1Ciu18&hl=en_US&fs=1&" type="application/x-shockwave-flash" allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true" width="480" height="385">